จับโกหกผ่านการสอบสวน
1
ให้ระมัดระวัง. แม้ว่าจะสามารถอ่านคนไม่ซื่อสัตย์และโกหกได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าเราจะมองคนผิดได้เช่นกัน สัญญาณบางอย่างอาจทำให้คนคนหนึ่งดูเหมือนว่ากำลังโกหกอยู่ทั้งๆ ที่ “สัญญาณ” เหล่านั้นอาจเป็นผลจากความอับอาย ความเคอะเขิน หรือความรู้สึกด้อยกว่า คนที่เครียดก็อาจจะถูกเข้าใจผิดได้ง่ายว่ากำลังโกหกอยู่ เนื่องจากการแสดงออกของความเครียดมักจะเหมือนกับการแสดงออกของคนโกหก ด้วยเหตุนี้ การจะจับโกหกได้นั้น ที่สำคัญคือเราจะต้องสังเกตสัญญาณ “หลายๆ อย่าง” ของพฤติกรรมและการโต้ตอบ เพราะไม่มีสัญญาณอะไรที่สามารถบ่งบอกได้ว่า “นี่แหละใช่เลย!” โกหกแน่ๆ
2
มองภาพรวม. เมื่อคุณกำลังประเมินภาษากาย การโต้ตอบทางคำพูด และสัญญาณอื่นที่บอกการโกหก เช่น
- เขาดูเครียดเกินกว่าปกติตลอดเวลาอยู่แล้วรึเปล่า ไม่ใช่แค่เครียดเพราะสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนั้น
- อาจเกี่ยวกับปัจจัยทางวัฒนธรรมที่ต่างออกไป บางครั้งพฤติกรรมที่เหมาะสมสำหรับวัฒนธรรมหนึ่งอาจจะดูมีพิรุธไม่ซื่อสัตย์สำหรับอีกวัฒนธรรมก็ได้
- คุณเข้าข้าง หรือ มีอคติกับเขาอยู่ก่อนแล้วรึเปล่า คุณ “อยาก” จะให้เขาโกหกใช่รึเปล่า ระวังอย่าตกหลุมพรางแบบนี้เข้าล่ะ
- คนคนนี้เคยมีประวัติโกหกรึเปล่า เขาเคยทำมาก่อนไหม
- คุณมีแรงจูงใจหรือเหตุผลที่ฟังขึ้นในการสงสัยว่าใครคนหนึ่งกำลังโกหกรึเปล่า
- จริงๆ แล้วคุณอ่านคนโกหกเป็นไหม คุณได้พิจารณาปัจจัยทั้งหมดรวมกันอย่างถี่ถ้วนแล้วรึยัง หรือคุณไม่ได้เจาะจงมองแค่สัญญาณที่เป็นไปได้แค่หนึ่งหรือสองอย่างใช่ไหม
3
ให้เวลากับการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่คุณที่คิดว่าโกหก และสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย. ข้อนี้รวมไปถึงการไม่แสดงออกว่าคุณกำลังสงสัยเขา และพยายามเลียนแบบภาษากาย รวมไปถึงจังหวะการพูดของ เมื่อกำลังสอบสวน ให้แสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจ อย่าทำตัวจองหอง การปฏิบัติตัวตามนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามระวังตัวน้อยลง และช่วยให้คุณจับสัญญาณโกหกได้ชัดเจนขึ้น
4
กำหนดบรรทัดฐาน. บรรทัดฐานที่ว่า หมายถึง พฤติกรรมของคนคนหนึ่งในขณะที่เขาไม่ได้โกหก มันจะช่วยบอกคุณได้ว่าเขากำลังทำตัวแปลกไปจากปกติรึเปล่า เริ่มจากการทำความรู้จักเขาถ้าคุณไม่รู้จัก แล้วสานต่อจากตรงนั้น เพราะคนเรามักตอบคำถามที่เกี่ยวกับตนเองอย่างตรงไปตรงมา สำหรับคนที่คุณรู้จักอยู่แล้ว การหาบรรทัดฐานอาจหมายรวมไปถึงการถามบางอย่างที่คุณอาจจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
5
หัดสังเกตการเบี่ยงเบนความสนใจ. บ่อยครั้งที่คนโกหกมักจะเล่าเรื่องจริง แต่จงใจไม่ตอบคำถามที่คุณถาม ถ้าเขาตอบคำถามว่า “คุณเคยตบตีภรรยามาไหม” ด้วยคำตอบอย่างเช่น “ผมรักภรรยามาก ผมจะทำอย่างนั้นกับเธอทำไม” ในทางเทคนิคแล้ว ผู้ต้องสงสัยอาจจะกำลังพูดความจริง แต่กำลังเลี่ยงตอบคำถามที่คุณถามไป นี่อาจเป็นตัวบอกใบ้ว่าเขากำลังโกหกหรือปิดบังบางอย่างจากคุณอยู่
6
ขอให้ฝ่ายตรงข้ามเล่าเรื่องให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง. ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดความจริงอยู่รึเปล่า ให้เขาเล่ารายละเอียดให้คุณฟังอีก “หลายๆ ” ครั้ง การจำรายละเอียดเรื่องโกหกนั้นยากทีเดียว ในขณะที่กำลังเล่าเรื่องที่กุขึ้นอยู่ คนโกหกอาจเผลอเล่าบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกัน ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง หรืออาจเผลอหลุดสัญญาณโกหกบางอย่างออกมาก็ได้
- ขอให้เขาลองเล่าเรื่องย้อนหลัง เพราะมันทำได้ยากมาก โดยเฉพาะถ้าต้องการเก็บรายละเอียดให้ครบถ้วน แม้แต่คนโกหกที่ชำนาญมากยังมองว่าการเล่าเรื่องย้อนหลังนั้นทำให้เนียนยาก
7
จ้องผู้ต้องสงสัยด้วยสายตาคลางแคลง. ถ้าคนๆ นั้นกำลังโกหก ไม่ช้าเขาก็จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ถ้าเขากำลังพูดความจริง เขามักจะโกรธหรือเพียงแค่หงุดหงิด (เม้มปาก คิ้วกดต่ำลง เปลือกตาบนเกร็งและหลุบต่ำลงเพื่อจ้องมอง)
8
ใช้ความเงียบ. เป็นการยากสำหรับคนโกหกที่จะเลี่ยงไม่เปิดปากเพื่อทำลายความเงียบที่คุณสร้างขึ้น เขาจะอยากให้คุณเชื่อเรื่องที่เขากุขึ้น แต่ความเงียบจะไม่ตอบสนองให้เขารู้ว่าตกลงแล้วคุณเชื่อหรือไม่เชื่อเขากันแน่ หากคุณใจเย็นและใช้ความเงียบเข้าสู้ คนโกหกหลายคนมักจะพยายามพูดไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เงียบ ด้วยการแต่งแต้มรายละเอียดหรืออาจจะเผลอหลุดปากพูดอะไรออกมาทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ถามด้วยซ้ำ!
- คนโกหกมักจะพยายามดูว่าคุณเชื่อสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ ถ้าคุณไม่แสดงออกอาการบางอย่างให้เขาเห็น เขาอาจจะรู้สึกอึดอัดได้
- ถ้าคุณเป็นผู้ฟังที่ดี คุณจะเลี่ยงการขัดจังหวะ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ดีอยู่แล้วในการปล่อยให้คนโกหกบอกเล่าเรื่องราว ถ้าคุณมีแนวโน้มชอบพูดแทรก พยายามฝึกทักษะนี้ไว้ ไม่เพียงแต่มักจะช่วยจับโกหก แต่ยังทำให้คุณเป็นผู้ฟังที่ดีในสถานการณ์ทั่วๆ ไปอีกด้วย
9
สานต่อให้จบ. ถ้าทำได้ คุณควรจะตรวจสอบข้อมูลเบื้องหลังในเรื่องที่คนโกหกกำลังพูดอยู่ คนที่โกหกเก่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่ควรพูดคุยกับคนที่สามารถคอนเฟิร์มหรือปฏิเสธเรื่องนั้นๆ ได้ ข้อมูลพวกนั้นอาจเป็นคำโกหกเสียเอง ดังนั้นจึงสำคัญมากที่คุณจะเอาชนะความลังเลและลุกขึ้นมาตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับคนที่คุณสงสัย ข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้ก็ควรจะถูกตรวจสอบ
ที่มา
http://th.wikihow.com/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%81